- @TOM NEWS
- May-Jun 2022
Heartstopper เรื่องรักหวานปนขมในชีวิตเด็ก LGBTQ
By : ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
เรื่องรักระหว่างเด็กผู้ชายสองคนในรั้วโรงเรียนถูกหยิบมาเล่าแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ Heartstopper ก็พิสูจน์ได้ว่า เมื่อมี “เรื่อง” ที่อยากจะเล่า และ “จริงใจ” กับเรื่องที่เล่ามากพอ มันก็มีแง่มุมอะไรใหม่ๆ ให้เราได้ตื่นเต้นเสมอ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเราก็คือในโลกแสนหวาน Feel Good ของ Heartstopper มันก็เจือไว้ด้วยรสขมปร่า และมันคือรสชาติชีวิตที่เด็กวัยรุ่นทุกคนจะต้องพบเจอ แล้วก้าวข้ามมันไปด้วยตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็น LGBTQ+ หรือเด็กชายหญิงทั่วไปก็ตาม
Heartstopper สร้างจากกราฟิกโนเวลชื่อดังของ Alice Oseman นักเขียนหญิงที่ระบุว่าตนเองเป็น Asexual (คนที่ไม่ฝักใฝ่สนใจเรื่องทางเพศ หรือไม่รู้สึกดึงดูดใจกับเพศไหนเลย) บอกเล่าความรักความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง Charlie Spring เด็กเกย์หนุ่มผู้แปลกแยก ขี้อาย และเก็บตัว กับ Nick Nelson เด็กหนุ่มนักรักบี้จิตใจดี ที่บังเอิญได้นั่งข้างๆ กับ Charlie ในชั่วโมงโฮมรูม โดยมีปัจจัยที่อาจผันแปรความสัมพันธ์ของพวกเค้าได้ทุกเมื่อ ทั้งแฟนเก่า (?) ที่ Charlie เคยต้องแอบคบหา แล้วทำให้เค้าเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก, ตัว Nick ที่ยังอยู่ในช่วงเวลาของการค้นหาและนิยามตนเองว่า ความรู้สึกหวั่นไหวที่เกิดขึ้นนี้ หมายความว่าเค้าเป็นเกย์ หรือเป็นไบเซ็กช่วล, เพื่อนๆ ในกลุ่มทั้งจากฝั่ง Charlie และฝั่ง Nick ไปจนถึงสังคมในรั้วโรงเรียนที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ LGBTQ+ และพร้อมทำร้ายเด็กๆ ผู้แตกต่างหลากหลายได้ทุกเมื่อ ใช่! ถึงมันจะมุ้งมิ้งเต็มไปด้วยพลังบวกจากมิตรภาพและความรักแสนหวาน แต่เราก็หายใจไม่ทั่วท้องทุกที เวลาตัวละครพบเจอกับสถานการณ์ยากๆ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นจากคนอื่นๆ ที่เค้าไม่อาจควบคุมอะไรได้ แต่พอตัวละครหลักนั้นมีจิตใจอันบริสุทธิ์ดีงาม มันก็ทำให้เรายังเชื่อมั่นและมีความหวังในความรักดีๆ อยู่
ถึงตัวซีรีส์จะมีความยาวแค่ 8 ตอน และแต่ละตอนก็มีความยาวตอนละไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ในแต่ละตอนก็มีประเด็นที่ตั้งใจจะสื่อสารแล้วทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งความเจ็บปวดแปลกแยกที่เด็กเกย์อย่าง Charlie ต้องเผชิญ (อาจจะรวมถึงตัวละครสาวทรานส์อย่าง Elle และคู่รักสาวเลสเบี้ยนอย่าง Tara และ Darcy ด้วย), การค้นหาตัวตนของเด็กๆ LGBTQ+ อันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่แต่ละคนต้องออกเดินทางค้นหามันด้วยตัวเอง - ชอบซีนที่ Nick นอนคุยกับ Charlie ถึงเรื่องนี้มากๆ แล้วสุดท้าย Charlie ก็ปลอบโยน Nick ว่านายไม่จำเป็นต้องรีบหาคำตอบในตอนนี้หรอก, ตัวละครไบเซ็กช่วลที่ช่วยยืนยันว่า การเป็นไบเซ็กช่วลนั้นไม่ใช่ภาวะสับสน เลือกไม่ได้ แต่พวกเค้าสามารถตกหลุมรักได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจริงๆ, การลุกขึ้นสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมีการกลั่นแกล้งรังแกเกิดขึ้นในโรงเรียน และคนที่ยืนดูอยู่เฉยๆ ก็สมควรถูกประณามเช่นกัน, ความเข้าใจและโอบรับเด็กๆ LGBTQ+ ด้วยความรักจากครอบครัวนั้นสำคัญมากจริง ฯลฯ
รักเคมีระหว่าง Joe Locke ผู้รับบท Charlie และ Kit Connor ผู้รับบท Nick มากๆ แล้วความไม่เพอร์เฟกต์แต่ดูเป็นเด็กธรรมดาๆ นี่ล่ะ ที่ได้ใจเราไปเต็มๆ นอกจากนี้ตัวละครแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะแก๊งเพื่อนและครอบครัวของ Charlie นั้นก็น่ารักมากๆ แล้วพอเราตกหลุมรักนักแสดง/ตัวละครแล้ว เราก็พร้อมจะเอาใจช่วยพวกเค้าในทุกๆ เรื่องจริงๆ เพราะนอกจากลุ้นความสัมพันธ์ของ Nick กับ Charlie แล้ว เรายังเชียร์ให้หนุ่มโย่งอย่าง Tao กับสาวทรานส์ผิวดำอย่าง Elle ก้าวข้ามเส้นความเป็นเพื่อนไปให้ได้, อยากส่งพลังบวกให้คู่รักเลสฯ อย่าง Tara กับ Darcy ก้าวข้ามทุกอุปสรรค และเปิดเผยความรักของพวกเธออย่างสง่างาม หรือแม้แต่ความพยายามเพ่งมองว่าหนุ่มเนิร์ดตุ้ยนุ้ยอย่าง Isaac อ่านหนังสืออะไรในวันนี้ และ Tori พี่สาวหน้าตายของ Charlie จะมายืนทำอะไรให้น้องชายปั่นป่วน
แล้วอันที่จริงเราก็แอบสงสารตัวละครอย่าง Ben มากนะ สิ่งที่เค้ากำลังเผชิญมันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่ Nick กำลังเจออยู่นั่นแหละ แต่วิธีการของเค้ามันผิดมหันต์ (ชอบฉากสุดท้ายที่ Charlie พูดตอกใส่หน้า Ben หลังจากวิ่งแข่งเสร็จไปตรงๆ นั้นมาก) ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะเค้าปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมสื่อสารพูดคุยกับตัวเองอย่างจริงใจ แต่การเปิดใจพูดคุยถามไถ่ตัวเองว่า เรากำลังเป็นอะไรอยู่ เรากำลังทำอะไรอยู่ เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ โอเคไหม สบายดีหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายๆ คน หรือแม้แต่ตัวเราในวันนี้ บ่อยครั้งเราก็เลือกที่จะโกหกตัวเอง หรือบอกให้เสียงข้างในตัวเองเงียบลงไปก่อน ... ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลองมาพูดคุยกับตัวเองดูไหม ตัวตนข้างในของเรามีอะไรอยากจะบอกไหมนะ หรือเค้าอาจจะทำให้เราก้าวข้ามเรื่องยากๆ ในตอนนี้ไปได้ง่ายๆ ก็ได้
รับชม Heartstopper ได้ทาง Netflix และ Heartstopper เวอร์ชั่นหนังสือก็มีฉบับแปลภาษาไทยออกมาแล้วด้วย (เล่ม 3 กำลังจะมาแล้ว) แถมล่าสุดก็มีการประกาศสร้างซีรีส์ต่อในซีซั่น 2 และ 3 แล้วด้วย กระแสดีจริงๆ เลย!
เรื่องรักระหว่างเด็กผู้ชายสองคนในรั้วโรงเรียนถูกหยิบมาเล่าแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ Heartstopper ก็พิสูจน์ได้ว่า เมื่อมี “เรื่อง” ที่อยากจะเล่า และ “จริงใจ” กับเรื่องที่เล่ามากพอ มันก็มีแง่มุมอะไรใหม่ๆ ให้เราได้ตื่นเต้นเสมอ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเราก็คือในโลกแสนหวาน Feel Good ของ Heartstopper มันก็เจือไว้ด้วยรสขมปร่า และมันคือรสชาติชีวิตที่เด็กวัยรุ่นทุกคนจะต้องพบเจอ แล้วก้าวข้ามมันไปด้วยตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็น LGBTQ+ หรือเด็กชายหญิงทั่วไปก็ตาม
Heartstopper สร้างจากกราฟิกโนเวลชื่อดังของ Alice Oseman นักเขียนหญิงที่ระบุว่าตนเองเป็น Asexual (คนที่ไม่ฝักใฝ่สนใจเรื่องทางเพศ หรือไม่รู้สึกดึงดูดใจกับเพศไหนเลย) บอกเล่าความรักความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง Charlie Spring เด็กเกย์หนุ่มผู้แปลกแยก ขี้อาย และเก็บตัว กับ Nick Nelson เด็กหนุ่มนักรักบี้จิตใจดี ที่บังเอิญได้นั่งข้างๆ กับ Charlie ในชั่วโมงโฮมรูม โดยมีปัจจัยที่อาจผันแปรความสัมพันธ์ของพวกเค้าได้ทุกเมื่อ ทั้งแฟนเก่า (?) ที่ Charlie เคยต้องแอบคบหา แล้วทำให้เค้าเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก, ตัว Nick ที่ยังอยู่ในช่วงเวลาของการค้นหาและนิยามตนเองว่า ความรู้สึกหวั่นไหวที่เกิดขึ้นนี้ หมายความว่าเค้าเป็นเกย์ หรือเป็นไบเซ็กช่วล, เพื่อนๆ ในกลุ่มทั้งจากฝั่ง Charlie และฝั่ง Nick ไปจนถึงสังคมในรั้วโรงเรียนที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ LGBTQ+ และพร้อมทำร้ายเด็กๆ ผู้แตกต่างหลากหลายได้ทุกเมื่อ ใช่! ถึงมันจะมุ้งมิ้งเต็มไปด้วยพลังบวกจากมิตรภาพและความรักแสนหวาน แต่เราก็หายใจไม่ทั่วท้องทุกที เวลาตัวละครพบเจอกับสถานการณ์ยากๆ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นจากคนอื่นๆ ที่เค้าไม่อาจควบคุมอะไรได้ แต่พอตัวละครหลักนั้นมีจิตใจอันบริสุทธิ์ดีงาม มันก็ทำให้เรายังเชื่อมั่นและมีความหวังในความรักดีๆ อยู่
ถึงตัวซีรีส์จะมีความยาวแค่ 8 ตอน และแต่ละตอนก็มีความยาวตอนละไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ในแต่ละตอนก็มีประเด็นที่ตั้งใจจะสื่อสารแล้วทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งความเจ็บปวดแปลกแยกที่เด็กเกย์อย่าง Charlie ต้องเผชิญ (อาจจะรวมถึงตัวละครสาวทรานส์อย่าง Elle และคู่รักสาวเลสเบี้ยนอย่าง Tara และ Darcy ด้วย), การค้นหาตัวตนของเด็กๆ LGBTQ+ อันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่แต่ละคนต้องออกเดินทางค้นหามันด้วยตัวเอง - ชอบซีนที่ Nick นอนคุยกับ Charlie ถึงเรื่องนี้มากๆ แล้วสุดท้าย Charlie ก็ปลอบโยน Nick ว่านายไม่จำเป็นต้องรีบหาคำตอบในตอนนี้หรอก, ตัวละครไบเซ็กช่วลที่ช่วยยืนยันว่า การเป็นไบเซ็กช่วลนั้นไม่ใช่ภาวะสับสน เลือกไม่ได้ แต่พวกเค้าสามารถตกหลุมรักได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจริงๆ, การลุกขึ้นสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมีการกลั่นแกล้งรังแกเกิดขึ้นในโรงเรียน และคนที่ยืนดูอยู่เฉยๆ ก็สมควรถูกประณามเช่นกัน, ความเข้าใจและโอบรับเด็กๆ LGBTQ+ ด้วยความรักจากครอบครัวนั้นสำคัญมากจริง ฯลฯ
รักเคมีระหว่าง Joe Locke ผู้รับบท Charlie และ Kit Connor ผู้รับบท Nick มากๆ แล้วความไม่เพอร์เฟกต์แต่ดูเป็นเด็กธรรมดาๆ นี่ล่ะ ที่ได้ใจเราไปเต็มๆ นอกจากนี้ตัวละครแวดล้อมอื่นๆ โดยเฉพาะแก๊งเพื่อนและครอบครัวของ Charlie นั้นก็น่ารักมากๆ แล้วพอเราตกหลุมรักนักแสดง/ตัวละครแล้ว เราก็พร้อมจะเอาใจช่วยพวกเค้าในทุกๆ เรื่องจริงๆ เพราะนอกจากลุ้นความสัมพันธ์ของ Nick กับ Charlie แล้ว เรายังเชียร์ให้หนุ่มโย่งอย่าง Tao กับสาวทรานส์ผิวดำอย่าง Elle ก้าวข้ามเส้นความเป็นเพื่อนไปให้ได้, อยากส่งพลังบวกให้คู่รักเลสฯ อย่าง Tara กับ Darcy ก้าวข้ามทุกอุปสรรค และเปิดเผยความรักของพวกเธออย่างสง่างาม หรือแม้แต่ความพยายามเพ่งมองว่าหนุ่มเนิร์ดตุ้ยนุ้ยอย่าง Isaac อ่านหนังสืออะไรในวันนี้ และ Tori พี่สาวหน้าตายของ Charlie จะมายืนทำอะไรให้น้องชายปั่นป่วน
แล้วอันที่จริงเราก็แอบสงสารตัวละครอย่าง Ben มากนะ สิ่งที่เค้ากำลังเผชิญมันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่ Nick กำลังเจออยู่นั่นแหละ แต่วิธีการของเค้ามันผิดมหันต์ (ชอบฉากสุดท้ายที่ Charlie พูดตอกใส่หน้า Ben หลังจากวิ่งแข่งเสร็จไปตรงๆ นั้นมาก) ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะเค้าปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมสื่อสารพูดคุยกับตัวเองอย่างจริงใจ แต่การเปิดใจพูดคุยถามไถ่ตัวเองว่า เรากำลังเป็นอะไรอยู่ เรากำลังทำอะไรอยู่ เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ โอเคไหม สบายดีหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายๆ คน หรือแม้แต่ตัวเราในวันนี้ บ่อยครั้งเราก็เลือกที่จะโกหกตัวเอง หรือบอกให้เสียงข้างในตัวเองเงียบลงไปก่อน ... ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราลองมาพูดคุยกับตัวเองดูไหม ตัวตนข้างในของเรามีอะไรอยากจะบอกไหมนะ หรือเค้าอาจจะทำให้เราก้าวข้ามเรื่องยากๆ ในตอนนี้ไปได้ง่ายๆ ก็ได้
รับชม Heartstopper ได้ทาง Netflix และ Heartstopper เวอร์ชั่นหนังสือก็มีฉบับแปลภาษาไทยออกมาแล้วด้วย (เล่ม 3 กำลังจะมาแล้ว) แถมล่าสุดก็มีการประกาศสร้างซีรีส์ต่อในซีซั่น 2 และ 3 แล้วด้วย กระแสดีจริงๆ เลย!