• @TOM NEWS
  • Jun 2020

The Half of It จำความปั่นป่วนตอนที่เราแอบชอบผู้หญิงด้วยกันเองได้ไหม

By : ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
หลังจากได้ยินเสียงชื่นชมถึง The Half of It ผลงานหนังจาก Netflix มาพักใหญ่ พร้อมกับเสียงชื่นชมที่ผสมผสานกันระหว่าง “การเป็นหนัง LGBT เรื่องเยี่ยม” และ “การเป็นหนังที่พูดเรื่องความรักที่ไปไกลกว่ากรอบเรื่องเพศ” ... แล้วเมื่อดูจบ เราก็ไม่ได้เลือกฝั่งจัดประเภทให้หนังเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งเลย เพราะจะมองว่ามันเป็นหนังรักเลสเบี้ยนก็ได้ หรือจะมองมันเป็นหนังรักที่พูดถึงความรักความรู้สึกดีที่เรามีกับใครอีกคนโดยไม่ต้องไปสนใจเรื่องเพศเลย ก็ได้เหมือนกัน
 
เรื่องราวของ The Half of It โฟกัสไปที่ Ellie Chu เด็กสาวเชื้อสายจีนที่ครอบครัวอพยพมาอยู่ในเมืองเล็กๆ อันเป็นต้นทางรถไฟในอเมริกา เธอเป็นเด็กฉลาดเฉลียวทางด้านการใช้ภาษา และแม้จะเก็บตัวเงียบ ไม่มีเพื่อนสักคน แต่ใครๆ ก็รู้จักเธอในฐานะผู้รับจ้างทำการบ้านชั้นยอด เรื่องชุลมุนวุ่นรักเริ่มขึ้นเมื่อ Paul เด็กหนุ่มใกล้บ้านมาไหว้วานให้ Ellie ใช้ความสามารถของเธอเขียนจดหมายรักถึงผู้หญิงที่เค้าแอบรัก มันคงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ Aster นักเรียนสาวตัวท็อปของโรงเรียน ... ที่ Ellie แอบมองและแอบชอบมานานแล้วเหมือนกัน!! บอกก่อนว่า นี่ไม่ถือว่าเป็นการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญหรือความลับอะไรของหนัง เพราะผู้ชมอย่างเราๆ จะรู้ว่า Ellie แอบชอบ Aster ตั้งแต่พาร์ตแรกของหนังเลย!
 
นั่นแหละ The Half of It เลยทำให้เราหวนคิดถึงความปั่นป่วนของการแอบรักใครสักคน ช่วงเวลาดีๆ น่าจดจำที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับเค้า ไปจนถึงความหวั่นไหวที่ดันตกหลุมรักคนใกล้ตัว แล้วการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ มันก็ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายหรือราบรื่นเลย แถมแทบทุกครั้งมันก็ลงเอยด้วยความวุ่นวายเละเทะ บาดเจ็บและต้องปาดน้ำตาทุกที

Review: The Half of It (Alice Wu, 2020) รีวิวโดย MDC - Pantip
 
บนฉากหน้าอย่างเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่น The Half of It เต็มไปด้วยการปะทะสังสรรค์กันของประเด็นอันหลากหลาย ทั้งเรื่องศาสนาความเชื่อที่ต้องปะทะกับเรื่องความรักของ LGBT, คนเอเชียที่ต้องปรับตัวในเมืองแห่งโอกาสที่หลายคนก็ต้องเจ็บช้ำและผิดหวัง, ความฝันของลูกๆ กับความคาดหวังของครอบครัว ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังรู้สึกหนักหรือเคร่งเครียดอะไร เพราะประเด็นใหญ่อย่างเรื่องการค้นหาตัวเอง ความรัก และการเติบโตของแต่ละตัวละครนั้นเต็มไปด้วยพลังบวกท่วมท้น แล้วที่เราชอบมากก็คือ การที่หนังเลือกเล่าความยากลำบากของชีวิตวัยรุ่น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฝั่งลูเซอร์ขี้แพ้ นักกีฬาประจำโรงเรียน หรือจะเป็นดาวโรงเรียน ทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง และรู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางกันทั้งนั้น
 
แล้วพอหนังให้เวลาและให้ความสำคัญกับตัวละครทั้ง 3 ตัวเทียบเท่ากัน พอถึงช่วงเวลาน่าอึดอัด กดดัน สับสน เราก็เลยพลอยลำบากใจ ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครดี และการเลือกทางออกให้กับหนังก็ช่างชาญฉลาด งดงาม และทำให้เราน้ำตาไหล มันคือความงดงามของความรักและการเติบโตจริงๆ นะ