- @TOM NEWS
- Jan 2024
Red, White & Royal Blue สิทธิ์ที่จะรัก และสิทธิ์ที่จะเปิดตัวเมื่อพร้อม
By : ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ก็ต้องให้เครดิตมาตั้งแต่เวอร์ชั่นหนังสือนวนิยายต้นฉบับของ Casey McQuiston ด้วยแหละที่ทำให้โครงเรื่องและตัวละครเป็นสารตั้งต้นที่ดีได้ขนาดนี้ แล้วถึงจะฉาบหน้าไว้ด้วยการเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ฟุ้งฝัน ขายพล็อตสุดบันเทิง แต่พอบทจะดราม่า Red, White & Royal Blue ก็ทำเอาเราอินจัดจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
เมื่อ Alex Claremont-Diaz ลูกชายประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ตกหลุมรักและสานสัมพันธ์กับเจ้าชาย Henry ผู้เป็นสุดที่รักของประชาชนชาวอังกฤษ จากการเขม่นเหม็นขี้หน้ากัน สู่โอกาสที่ได้ใกล้ชิดและเปิดใจให้กันในที่สุด แต่ความสัมพันธ์ที่เริ่มจริงจังมากขึ้นทุกทีอาจไม่ส่งผลดีต่อใครเลย เพราะหากความรักของพวกเค้าถูกเปิดโปงขึ้นมา ฝ่าย Alex ก็อาจจะทำให้แม่ผู้เป็นประธานาธิบดีหญิงแพ้การเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา และอดครองตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง ส่วนเจ้าชาย Henry ก็อาจจะทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเกียรติที่สั่งสมมานับพันปี
พอตัวละครอยู่ห่างกันคนละประเทศ และมีภารกิจที่ต้องทำจนไม่อาจจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันหรือคุยกันได้ตลอดเวลา การเขียนอีเมลส่งหากันไปมากลับยิ่งทำให้ความสัมพันธ์มันดูโรแมนติกมากขึ้นไปอีก (ก่อนที่สุดท้าย อีเมลทั้งหมดจะวนกลับมามีประโยชน์ในเชิงการวางหมากวางเกมของคนเขียนบทอีกครั้งในช่วงท้าย) แล้วพอตัวละครได้เจอกัน เราก็เลยเชื่อถึงแรงโหยหาที่ทั้งคู่มีต่อกันมาก แน่นอน เคมีของสองนักแสดง Taylor Zakhar Perez และ Nicholas Galitzine คือสิ่งดีงาม ไม่ใช่แค่เฉพาะฉากพ่อแง่แม่งอน แต่ฉากดราม่าสื่อสารอารมณ์ข้างในที่ท่วมท้น พวกเค้าต่างก็ทำได้ดีมาก
ในยุคที่คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่า การเป็นเกย์ หรือเป็น LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ การแสดงออก หรือเปิดตัวไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไปแล้ว พอตัวละครอย่าง Alex และ Henry ต้องแบกสถานะทางสังคมและครอบครัวเอาไว้ จนทำให้การเป็นตัวของตัวเอง การได้แสดงออกซึ่งความรัก หรือมีคนรักอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ มันก็ทำให้เรื่องที่อาจจะดูเก่าเชยกลายเป็นเรื่องน่าเชื่อถือได้ขึ้นมาเฉยเลย จริงสินะ ยังมีคนดังอีกมากมายที่ไม่สามารถ Come Out ได้ เพราะบทบาทหน้าที่และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับครอบครัวคนรอบตัวของเค้า ซึ่งเราก็หวังเหลือเกินว่า เมื่อถึงวันที่พวกเค้ากล้าที่จะก้าวเดินออกมาเพื่อตัวเอง จะมีผู้คนมากมาย (รวมถึงชาว LGBTQ+) ออกมาแสดงพลังเพื่อโอบกอดต้อนรับพวกเค้าแบบเดียวกับในหนังเรื่องนี้
ขอโน้ตไว้ตรงนี้ด้วยว่า สุนทรพจน์ช่วงท้ายของ Alex ที่พูดถึงสิทธิ์ที่จะเปิดตัว Come Out เมื่อพร้อมนั้นดีงามมาก มีคนมากมายที่ถูกบีบบังคับให้เปิดตัวโดยที่ตัวเค้าเองยังไม่พร้อม และมันอาจจะกลายเป็นบาดแผลให้กับชีวิตของพวกเค้าได้ “ความจริงก็คือ ชาวเควียร์ทุกคนมีสิทธิที่จะเปิดเผยเพศวิถีตามเงื่อนไขและเวลาของตนเอง พวกเค้ามีสิทธิเลือกจะไม่เปิดเผยได้ด้วยซ้ำ ... นี่ไม่ใช่เรื่องของความละอาย นี่คือเรื่องของความเป็นส่วนตัว และสิทธิพื้นฐานในการตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือหลักการของการปลดแอกที่ชาวเควียร์ดิ้นรนต่อสู้กันมาตลอด”
รับชม Red, White & Royal Blue ได้ทาง Prime
ก็ต้องให้เครดิตมาตั้งแต่เวอร์ชั่นหนังสือนวนิยายต้นฉบับของ Casey McQuiston ด้วยแหละที่ทำให้โครงเรื่องและตัวละครเป็นสารตั้งต้นที่ดีได้ขนาดนี้ แล้วถึงจะฉาบหน้าไว้ด้วยการเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ฟุ้งฝัน ขายพล็อตสุดบันเทิง แต่พอบทจะดราม่า Red, White & Royal Blue ก็ทำเอาเราอินจัดจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
เมื่อ Alex Claremont-Diaz ลูกชายประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ตกหลุมรักและสานสัมพันธ์กับเจ้าชาย Henry ผู้เป็นสุดที่รักของประชาชนชาวอังกฤษ จากการเขม่นเหม็นขี้หน้ากัน สู่โอกาสที่ได้ใกล้ชิดและเปิดใจให้กันในที่สุด แต่ความสัมพันธ์ที่เริ่มจริงจังมากขึ้นทุกทีอาจไม่ส่งผลดีต่อใครเลย เพราะหากความรักของพวกเค้าถูกเปิดโปงขึ้นมา ฝ่าย Alex ก็อาจจะทำให้แม่ผู้เป็นประธานาธิบดีหญิงแพ้การเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา และอดครองตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง ส่วนเจ้าชาย Henry ก็อาจจะทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเกียรติที่สั่งสมมานับพันปี
พอตัวละครอยู่ห่างกันคนละประเทศ และมีภารกิจที่ต้องทำจนไม่อาจจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันหรือคุยกันได้ตลอดเวลา การเขียนอีเมลส่งหากันไปมากลับยิ่งทำให้ความสัมพันธ์มันดูโรแมนติกมากขึ้นไปอีก (ก่อนที่สุดท้าย อีเมลทั้งหมดจะวนกลับมามีประโยชน์ในเชิงการวางหมากวางเกมของคนเขียนบทอีกครั้งในช่วงท้าย) แล้วพอตัวละครได้เจอกัน เราก็เลยเชื่อถึงแรงโหยหาที่ทั้งคู่มีต่อกันมาก แน่นอน เคมีของสองนักแสดง Taylor Zakhar Perez และ Nicholas Galitzine คือสิ่งดีงาม ไม่ใช่แค่เฉพาะฉากพ่อแง่แม่งอน แต่ฉากดราม่าสื่อสารอารมณ์ข้างในที่ท่วมท้น พวกเค้าต่างก็ทำได้ดีมาก
ในยุคที่คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่า การเป็นเกย์ หรือเป็น LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ การแสดงออก หรือเปิดตัวไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไปแล้ว พอตัวละครอย่าง Alex และ Henry ต้องแบกสถานะทางสังคมและครอบครัวเอาไว้ จนทำให้การเป็นตัวของตัวเอง การได้แสดงออกซึ่งความรัก หรือมีคนรักอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ มันก็ทำให้เรื่องที่อาจจะดูเก่าเชยกลายเป็นเรื่องน่าเชื่อถือได้ขึ้นมาเฉยเลย จริงสินะ ยังมีคนดังอีกมากมายที่ไม่สามารถ Come Out ได้ เพราะบทบาทหน้าที่และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับครอบครัวคนรอบตัวของเค้า ซึ่งเราก็หวังเหลือเกินว่า เมื่อถึงวันที่พวกเค้ากล้าที่จะก้าวเดินออกมาเพื่อตัวเอง จะมีผู้คนมากมาย (รวมถึงชาว LGBTQ+) ออกมาแสดงพลังเพื่อโอบกอดต้อนรับพวกเค้าแบบเดียวกับในหนังเรื่องนี้
ขอโน้ตไว้ตรงนี้ด้วยว่า สุนทรพจน์ช่วงท้ายของ Alex ที่พูดถึงสิทธิ์ที่จะเปิดตัว Come Out เมื่อพร้อมนั้นดีงามมาก มีคนมากมายที่ถูกบีบบังคับให้เปิดตัวโดยที่ตัวเค้าเองยังไม่พร้อม และมันอาจจะกลายเป็นบาดแผลให้กับชีวิตของพวกเค้าได้ “ความจริงก็คือ ชาวเควียร์ทุกคนมีสิทธิที่จะเปิดเผยเพศวิถีตามเงื่อนไขและเวลาของตนเอง พวกเค้ามีสิทธิเลือกจะไม่เปิดเผยได้ด้วยซ้ำ ... นี่ไม่ใช่เรื่องของความละอาย นี่คือเรื่องของความเป็นส่วนตัว และสิทธิพื้นฐานในการตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือหลักการของการปลดแอกที่ชาวเควียร์ดิ้นรนต่อสู้กันมาตลอด”
รับชม Red, White & Royal Blue ได้ทาง Prime