• @TOM NEWS
  • Aug 2021

ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เผยข้อมูลสถิติผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ เสี่ยงติดเชื้อ HCV ร่วม

By : Ruta
ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เผยข้อมูลโอกาสและแนวโน้มของการติดเชื้อร่วมของไวรัสตับอักเสบ ซี (HCV) และไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งในปัจจุบัน พบมากกว่า 90% มาจากกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย โดยไม่ป้องกัน และกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย โดยมีการใช้ยา PrEP ซึ่งเป็นยาที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น HCV พร้อมระบุ 3 ปัจจัย ก่อให้เกิดการติดเชื้อร่วมระหว่าง 2 ไวรัสดังกล่าวในผู้ป่วย ดังนี้ 1. การมีเพศสัมพันธ์แบบหลายคู่นอนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป 2. การใช้ยาเสพติดแบบฉีดหรือแบบสูดดมโดยเฉพาะยาไอซ์และโคเคน 3. มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส

พญ.อัญชลี อวิหิงสานนท์ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ไวรัสตับอักเสบซี และ HIV มีช่องทางการติดต่อเช่นเดียวกัน เราจึงพบว่าในคนไข้ HIV มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสูง คือในกลุ่มที่มีการใช้ยาเสพติดแบบฉีด และในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย โดยเฉพาะหากมีคู่นอนหลายคนและมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันและมีการใช้ยาไอซ์ทั้งแบบสูดดมและแบบฉีดจะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HCV สูงมากขึ้น ดังนั้นจึงถือว่าโรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย  (men having sex with men : MSM)

ปัจจุบันใน กทม. ผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่มากกว่า 90% จะเป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและอายุน้อย ทำให้มีโอกาสพบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มนี้ และอีกกลุ่มที่มีโอกาสติดเชื้อ HCV เพิ่มขึ้น ก็คือกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวีและมีการใช้ยา tenofovir disoproxil fumarate (TDF)/emtricitabine (FTC) เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนสัมผัสหรือที่เรียกว่า PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)  เนื่องจากยา PrEPเป็นยาที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี ได้ ดังนั้นในคนกลุ่มนี้ถ้ามีคู่นอนหลายคนและมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันก็จะพบการติดเชื้อซิฟิลิสและไวรัสตับอักเสบซีสูงขึ้นได้ โดยปัจจุบัน MSM ที่มีอายุ 20 – 30 ปี พบภาวการณ์ติดเชื้อHCV แบบเฉียบพลัน (acute HCV) มากขึ้น 

ทั้งนี้ ในคนที่มีการติดเชื้อ HIV ร่วมกับ HCV จะทำให้การแบ่งตัวของไวรัส HCV สูงขึ้น 8 – 20 เท่า เทียบกับการแบ่งตัวในผู้ติดเชื้อ HCV อย่างเดียว และพบปริมาณไวรัส HCV  ในน้ำอสุจิหรือน้ำหล่อลื่นในผู้ติดเชื้อ HIV ร่วมกับ HCV สูงถึง 40% ในขณะที่พบเพียง 20% ในผู้ที่ติดเชื้อ HCV เพียงอย่างเดียว (37.8% vs 18.4%)  จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มที่ติดเชื้อ HIV ร่วมกับ HCV จะมีโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ HCV ทางเพศสัมพันธ์สูงกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งโดยปกติการกระจายเชื้อทางเพศสัมพันธ์พบได้น้อยมากถ้าผู้ติดเชื้อมี HCV อย่างเดียว

ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เผยข้อมูลสถิติผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ เสี่ยง ติดเชื้อ HCV ร่วมมากกว่า 90%  พบในกลุ่มชายรักชายที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน – Splendor-biz

พญ.อัญชลี กล่าวเสริมว่า กลุ่มคนที่ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV และ HCV มีดังนี้ 1. กลุ่มที่มีการใช้ยาเสพติดแบบฉีดและแบบสูดดม 2. กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและหญิงข้ามเพศ (Transgender) 3. กลุ่มที่มีการติดเชื้อ HIV แต่ตรวจพบการติดเชื้อซิฟิลิส รวมทั้งมีค่าเอ็นไซม์ตับสูงขึ้น และ 4. กลุ่มอื่นๆ ที่ควรตรวจ เช่น กลุ่มคนที่มีประวัติการรับเลือดมาก่อนปี พ.ศ.2535 กลุ่มผู้ต้องขัง เนื่องจากมีการตรวจพบการติดเชื้อ HCV ในผู้ต้องขัง สูงถึง 3 – 7% กลุ่มคนเก็บขยะเพราะอาจถูกเข็มหรือของมีคมตำ และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ก็ควรตรวจการติดเชื้อ HCV เช่นเดียวกัน

โดยเมื่อติดเชื้อ HIV ร่วมกับ HCV แนะนำวิธีการดูแลตัวเอง ควรควบคุมพฤติกรรมที่ทำให้เกิดเยื่อพังผืดที่ตับมากขึ้น คือ งดการดื่มแอลกอฮอล์ หรือในกลุ่มคนที่รู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ก็ควรเข้ารับการตรวจเป็นประจำ และป้องกันพฤติกรรมที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงในการติดเชื้อ คือ การมีเพศสัมพันธ์แบบป้องกัน ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และไม่ควรมีคู่นอนหลายคน รวมทั้งหากเป็นผู้ป่วยเอชไอวี ให้กินยาต้าน HIV สม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของตนเองและคู่นอนเป็นประจำ