- @TOM NEWS
- Oct-Nov 2024
Love in the Big City มิตรภาพของผู้หญิงแรงๆ กับเกย์อินโทรเวิร์ต
By : ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ถึงจะฉาบหน้าไว้ด้วยความเป็นหนัง Feel Good พลังบวก แต่สิ่งที่ตัวละครทั้งคู่มันช่างสมจริงสมจัง และหนักหนาสาหัส แล้วมันก็ประกอบร่างสร้างตัวละครให้มีเลือดเนื้อ ให้เป็นมนุษย์ และให้คนดูอย่างเราๆ ตกหลุมรักอย่างง่ายดาย ความดีงามของ Love in the Big City นี้อาจจะมาจากตัวนวนิยายต้นฉบับของ “พัคซังยอง” นักเขียนเกย์หมี (ที่โผล่มาเป็น Cameo ในหนังด้วย) แต่เราเชื่อว่า ส่วนสำคัญคือ Kim Na-deul มือเขียนบท และ E.oni ผู้กำกับหญิง ที่ค่อยๆ ใช้เวลาพาเราไปทำความรู้จักตัวตนของตัวละครอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน และไม่เร่งเร้าในจังหวะที่สามารถเค้นอารมณ์ได้ด้วยซ้ำ แล้วความสนุกของตัวหนังก็คือ การที่หนังทำเหมือนจะเล่นท่าบังคับแบบที่เราชิน มันกลับพลิกไปอีกทาง แล้วทำได้ดีด้วย!
Love in the Big City เวอร์ชั่นหนังนี้ หยิบเอาแค่บทแรกของตัวนวนิยายมาเล่า โดยโฟกัสไปที่สายสัมพันธ์ของ “แจฮี” หญิงสาวที่ถูกใครๆ มองว่าแรง-แรด กินเหล้าเมามาย และเปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า กับ “ฮึงซู” เกย์หนุ่มที่ยังไม่เปิดตัว และสร้างกำแพงกับทุกคนเอาไว้ แล้วในคืนหนึ่งที่แจฮีได้ล่วงรู้ความลับถึงตัวตนที่แท้จริงของฮึงซู พร้อมกับประโยคที่แจฮีพูดออกมาด้วยความจริงใจว่า “การเป็นตัวของตัวเองจะเป็นจุดอ่อนได้ยังไง” มันก็ทำให้พวกเค้าค่อยๆ ผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกแปลกแยกจากสังคม ความสบายอกสบายใจที่ได้เป็นตัวเองเมื่ออยู่ด้วยกัน และความเข้าอกเข้าใจในความเจ็บปวดของกันและกัน มันก็ทำให้มิตรภาพของพวกเค้างอกเงย แต่แน่นอน มันจะมีบททดสอบมากมายเข้ามาให้พวกเค้าต้องเผชิญหน้า
เอาเข้าจริง Love in the Big City ทำให้เราคิดถึงเพื่อนผู้หญิงหลายๆ คนในชีวิต ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เรามักจะเลือกคบเพื่อนผู้หญิงแรงๆ เสมอ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผู้หญิงที่ไม่แคร์โลก ใช้ชีวิตสุดโต่ง โผงผาง ตรงไปตรงมา และใช่ เรามองเห็นฮึงซูในพวกเธอเหล่านั้น แล้วในพาร์ตแรกของหนัง ที่ตัวละครยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นวัยมหาลัย มันก็พาเราย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเหล่านั้นของตัวเองเช่นกัน ในขณะที่ครึ่งหลัง พอตัวละครเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มันก็พาเราเดินทางและเทียบเคียงกับประสบการณ์ของตัวเองได้อีก ทั้งหมดนี้ มันอาจจะเป็นอะไรที่ส่วนตัวมากๆ แหละ
แน่นอน เราอาจจะรู้สึกกับพาร์ตความเป็นเกย์ของฮึงซูได้มากกว่า ทั้งความอึดอัดคับข้องใจของการไม่สามารถเปิดตัวได้ การดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเพราะทำให้ผู้เป็นแม่ทุกข์ใจ และการไม่กล้าสร้างความสัมพันธ์กับใคร ทว่าหนังก็ทำให้เราเข้าอกเข้าใจตัวละครหญิงที่ถูกสังคมโบยตีได้เช่นกัน โดยไม่มีพาร์ตของใครด้อยไปกว่าใครเลยด้วย นี่ล่ะความดีงาม!
ที่สุดของที่สุดก็คือการเลือก “คิมโกอึน” มารับบทแจฮี ซึ่งทำให้ตัวละครหญิงสาว (ที่ดูเหมือน) กร้านโลก เต็มไปด้วยมิติ ดูแข็งกร้าว แต่ก็เปราะบาง มีหัวจิตหัวใจ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เป็นผู้หญิงแบบที่เกย์อยากจะสนิทด้วยจริงๆ แล้วเธอก็มอบการแสดงที่น่าจดจำไว้มากมายหลายต่อหลายฉาก จากฉากโปรยเสน่ห์สู่ฉากระเบิดทางอารมณ์อันเข้มข้น โอ้โห เราอยากจะดูผลงานของเธอทุกเรื่องจริงๆ ส่วน “โนซังฮยอน” ก็หล่อระเบิดจอ แบบกล้องรักเหลือเกิน แล้วภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยที่เก็บกักอารมณ์ไว้มากมายของตัวละคร พอถึงคราวที่เค้าต้องแสดงด้านอันเปราะบางออกมา มันก็ทำให้เราใจสลายตามไปด้วยจริงๆ มากไปกว่านั้น เคมีของทั้งคู่เวลาอยู่ด้วยกันในหนังนั้นน่ารักมาก แล้วสิ่งนี้มันก็สำคัญมากต่อหนังเรื่องนี้ เพราะมันคือเรื่องของเพื่อนรักที่ผูกพันกันจนวันตาย!
หมายเหตุ: นวนิยาย Love in the Big City มีฉบับแปลไทยแล้วนะ ในชื่อ “เราไม่อาจกักเก็บใครไว้ได้ตลอดกาลในจักรวาลสีแอเมทิสต์” และยังมีซีรีส์ชื่อ Love in the Big City ที่จะเล่าเรื่องตามนวนิยายแบบทั้งเล่ม ซึ่งโฟกัสไปที่ตัวละครฮึงซู และก่อให้เกิดดราม่าเรียกร้องให้แบนซีรีส์ในเกาหลีใต้ในตอนนี้ – ช่างเป็นประเทศที่ยากจะเปิดรับ LGBTQ+ จริงๆ สินะ!
ถึงจะฉาบหน้าไว้ด้วยความเป็นหนัง Feel Good พลังบวก แต่สิ่งที่ตัวละครทั้งคู่มันช่างสมจริงสมจัง และหนักหนาสาหัส แล้วมันก็ประกอบร่างสร้างตัวละครให้มีเลือดเนื้อ ให้เป็นมนุษย์ และให้คนดูอย่างเราๆ ตกหลุมรักอย่างง่ายดาย ความดีงามของ Love in the Big City นี้อาจจะมาจากตัวนวนิยายต้นฉบับของ “พัคซังยอง” นักเขียนเกย์หมี (ที่โผล่มาเป็น Cameo ในหนังด้วย) แต่เราเชื่อว่า ส่วนสำคัญคือ Kim Na-deul มือเขียนบท และ E.oni ผู้กำกับหญิง ที่ค่อยๆ ใช้เวลาพาเราไปทำความรู้จักตัวตนของตัวละครอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน และไม่เร่งเร้าในจังหวะที่สามารถเค้นอารมณ์ได้ด้วยซ้ำ แล้วความสนุกของตัวหนังก็คือ การที่หนังทำเหมือนจะเล่นท่าบังคับแบบที่เราชิน มันกลับพลิกไปอีกทาง แล้วทำได้ดีด้วย!
Love in the Big City เวอร์ชั่นหนังนี้ หยิบเอาแค่บทแรกของตัวนวนิยายมาเล่า โดยโฟกัสไปที่สายสัมพันธ์ของ “แจฮี” หญิงสาวที่ถูกใครๆ มองว่าแรง-แรด กินเหล้าเมามาย และเปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า กับ “ฮึงซู” เกย์หนุ่มที่ยังไม่เปิดตัว และสร้างกำแพงกับทุกคนเอาไว้ แล้วในคืนหนึ่งที่แจฮีได้ล่วงรู้ความลับถึงตัวตนที่แท้จริงของฮึงซู พร้อมกับประโยคที่แจฮีพูดออกมาด้วยความจริงใจว่า “การเป็นตัวของตัวเองจะเป็นจุดอ่อนได้ยังไง” มันก็ทำให้พวกเค้าค่อยๆ ผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกแปลกแยกจากสังคม ความสบายอกสบายใจที่ได้เป็นตัวเองเมื่ออยู่ด้วยกัน และความเข้าอกเข้าใจในความเจ็บปวดของกันและกัน มันก็ทำให้มิตรภาพของพวกเค้างอกเงย แต่แน่นอน มันจะมีบททดสอบมากมายเข้ามาให้พวกเค้าต้องเผชิญหน้า
เอาเข้าจริง Love in the Big City ทำให้เราคิดถึงเพื่อนผู้หญิงหลายๆ คนในชีวิต ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เรามักจะเลือกคบเพื่อนผู้หญิงแรงๆ เสมอ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผู้หญิงที่ไม่แคร์โลก ใช้ชีวิตสุดโต่ง โผงผาง ตรงไปตรงมา และใช่ เรามองเห็นฮึงซูในพวกเธอเหล่านั้น แล้วในพาร์ตแรกของหนัง ที่ตัวละครยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นวัยมหาลัย มันก็พาเราย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเหล่านั้นของตัวเองเช่นกัน ในขณะที่ครึ่งหลัง พอตัวละครเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มันก็พาเราเดินทางและเทียบเคียงกับประสบการณ์ของตัวเองได้อีก ทั้งหมดนี้ มันอาจจะเป็นอะไรที่ส่วนตัวมากๆ แหละ
แน่นอน เราอาจจะรู้สึกกับพาร์ตความเป็นเกย์ของฮึงซูได้มากกว่า ทั้งความอึดอัดคับข้องใจของการไม่สามารถเปิดตัวได้ การดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเพราะทำให้ผู้เป็นแม่ทุกข์ใจ และการไม่กล้าสร้างความสัมพันธ์กับใคร ทว่าหนังก็ทำให้เราเข้าอกเข้าใจตัวละครหญิงที่ถูกสังคมโบยตีได้เช่นกัน โดยไม่มีพาร์ตของใครด้อยไปกว่าใครเลยด้วย นี่ล่ะความดีงาม!
ที่สุดของที่สุดก็คือการเลือก “คิมโกอึน” มารับบทแจฮี ซึ่งทำให้ตัวละครหญิงสาว (ที่ดูเหมือน) กร้านโลก เต็มไปด้วยมิติ ดูแข็งกร้าว แต่ก็เปราะบาง มีหัวจิตหัวใจ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เป็นผู้หญิงแบบที่เกย์อยากจะสนิทด้วยจริงๆ แล้วเธอก็มอบการแสดงที่น่าจดจำไว้มากมายหลายต่อหลายฉาก จากฉากโปรยเสน่ห์สู่ฉากระเบิดทางอารมณ์อันเข้มข้น โอ้โห เราอยากจะดูผลงานของเธอทุกเรื่องจริงๆ ส่วน “โนซังฮยอน” ก็หล่อระเบิดจอ แบบกล้องรักเหลือเกิน แล้วภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยที่เก็บกักอารมณ์ไว้มากมายของตัวละคร พอถึงคราวที่เค้าต้องแสดงด้านอันเปราะบางออกมา มันก็ทำให้เราใจสลายตามไปด้วยจริงๆ มากไปกว่านั้น เคมีของทั้งคู่เวลาอยู่ด้วยกันในหนังนั้นน่ารักมาก แล้วสิ่งนี้มันก็สำคัญมากต่อหนังเรื่องนี้ เพราะมันคือเรื่องของเพื่อนรักที่ผูกพันกันจนวันตาย!
หมายเหตุ: นวนิยาย Love in the Big City มีฉบับแปลไทยแล้วนะ ในชื่อ “เราไม่อาจกักเก็บใครไว้ได้ตลอดกาลในจักรวาลสีแอเมทิสต์” และยังมีซีรีส์ชื่อ Love in the Big City ที่จะเล่าเรื่องตามนวนิยายแบบทั้งเล่ม ซึ่งโฟกัสไปที่ตัวละครฮึงซู และก่อให้เกิดดราม่าเรียกร้องให้แบนซีรีส์ในเกาหลีใต้ในตอนนี้ – ช่างเป็นประเทศที่ยากจะเปิดรับ LGBTQ+ จริงๆ สินะ!