- @TOM NEWS
- Dec 2023
Marry My Dead Body สื่อสารประเด็น LGBTQ+ ผ่านบรรยากาศโรแมนติกคอมเมดี้ได้ดีเหลือเกิน
By : ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
ไม่ใช่แค่การผูกพล็อตเรื่องได้ฉลาด (“อู๋หมิงฮั่น” ตำรวจ ‘ชายแท้’ ดวงซวย ดันเก็บซองแดงที่ใช้ในพิธีแต่งงานกับผีได้ จนต้องเข้าพิธีแต่งงานกับ “เหมาเหมา” เกย์หนุ่มที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร แล้ววิญญาณของเหมาเหมาก็ปรากฏตัวขึ้น เพื่อให้เค้าช่วยสืบคดีว่าใครกันแน่ที่ขับรถชนจนเจ้าตัวต้องกลายเป็นผีแบบนี้) แต่การวางหมากวางปมต่างๆ ควบคู่ไปกับการนำเสนอประเด็นทางสังคมที่ค่อนข้างจริงจัง กลับกลมกลืนในบรรยากาศโรแมนติกคอมเมดี้ได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโฮโมโฟเบีย (การเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน) ที่ตัวละครหมิงฮั่นโน้มเอียงไปสู่จุดนี้มากๆ ในช่วงแรกของหนัง, ทัศนคติของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงในการทำงานของผู้ชาย ซึ่งตัวละครตำรวจหญิง “จื่อชิง” ก็เผชิญสิ่งนี้อยู่ตลอดแล้วมันก็อาจจะผลักดันให้เธอตัดสินใจทำเรื่องเซอร์ไพรส์ทุกคนในช่วงท้ายเรื่องแบบนั้น, ปัญหายาเสพติด ที่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ปัญหานี้ในสังคมเกย์มีอยู่จริง – การที่หมิงฮั่นพยายามยัดเยียดข้อหาครอบครองยาให้กับตัวละครเกย์ในฟิตเนสตอนแรกของเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย
แล้วประเด็นที่สำคัญที่สุดในหนังก็คือเรื่อง “สมรสเท่าเทียม” ในโลกของความเป็นจริง ไต้หวันเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านกฎหมายแต่งงานระหว่างคนรักเพศเดียวกันได้สำเร็จ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ชาว LGBTQ+ ทุกคนจะมีความสุขสมหวังไปซะทั้งหมด พวกเค้ายังต้องเผชิญกับปัญหาของความรักที่อาจทำให้ภาพฝันแสนหวานเป็นจริงไม่ได้ การต่อต้านจากคนรุ่นเก่า อย่างพ่อแม่คนในครอบครัว (ตรงนี้ เหมาเหมาอาจจะโชคดีที่คุณย่าเปิดกว้าง และสนับสนุนเค้าในการเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่) หรือแม้แต่กับสังคมในวงกว้าง ชาว LGBTQ+ หลายๆ คนยังต้องเผชิญหน้ากับโฮโมโฟเบียอยู่เหมือนเดิม (เธอ! อย่างใน Taiwan Pride ทุกครั้งก็จะมีคนออกมาต่อต้านเสมอ มาชูป้ายด่าทอ บอกให้พระเจ้าลงโทษบ้าง พวกแกต้องตกนรกบ้าง – หรือแม้แต่ตอนโหวตกฎหมายแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน ก็มีหลายบ้านที่ติดป้ายหน้าประตู แขวนข้อความบนหน้าต่างเลยว่า ไม่ยอมรับการแต่งงานของ LGBTQ+)
แต่ก็นั่นแหละ การมีหนังอย่าง Marry My Dead Body มันก็ช่วยปลอบประโลมเรา และหวังเหลือเกินว่า พวกโฮโมโฟเบีย หรือคนที่ไม่เคยเข้าใจ LGBTQ+ จะเปิดตาเปิดใจกว้างมองเห็นเราเป็นเพื่อน หรืออย่างน้อยๆ ก็มองเราเป็นเพื่อนมนุษย์ แบบเดียวกับที่หมิงฮั่นแปรเปลี่ยนไป เมื่อได้รู้จักกับชีวิตของเหมาเหมา ซึ่งขณะที่เขียนอยู่นี้ เราก็เกือบจะโยนความหวังที่ว่านี้ลงถังขยะไปอีกรอบ เพราะแค่มีข่าว สปสช. ให้สิทธิบัตรทองกลุ่ม LGBTQ+ ผ่าตัดแปลงเพศฟรี! คอมเมนต์แย่ๆ ก็ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ซึ่งสะท้อนให้เห็นเลยว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่เข้าใจ และมองการผ่าตัดแปลงเพศเป็นเรื่องความสวยความงามเพียงเท่านั้น ... โอเค เรายังต้องสื่อสารและสร้างความเข้าใจกันต่อไปแหละเนอะ
กลับมาที่ Marry My Dead Body ที่เราชอบมากๆ อีกส่วนก็คือ การที่ความสัมพันธ์ของตัวละครมันไม่ก้าวไปสู่สถานะคนรักแบบหนังเกย์/ซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ โอเค มันมีฉากที่ตัวละครได้อยู่ใกล้ชิดหรือมีโมเมนต์อยู่บ้าง แต่มันไม่ถูกขยี้อย่างชัดเจนอะไรเลย แน่นอน มันไม่มีเลิฟซีนใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ฉากจูบก็ไม่มี แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า สถานะของตัวละครหมิงฮั่นกับเหมาเหมานั้นคือคู่สมรสกันในโลกวิญญาณแล้วนะ – มันข้ามไปไกลกว่าเรื่องทางโลก หรือกฎหมายสมรสเสียอีก แล้วพอฉากสุดท้ายของเรื่องมาถึง การใช้ชีวิตต่อไปของหมิงฮั่นโดยมีเหมาเหมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเค้าตลอดไป แม้ว่าดวงวิญญาณของเหมาเหมาไม่อยู่กับเค้าแล้ว มันจึงลึกซึ้งเหลือเกิน
ความสำเร็จส่วนสำคัญของ Marry My Dead Body ยังอยู่ที่สองนักแสดงนำ “เกร็ก ซู” เป็นหมิงฮั่นได้น่าทุบมาก ในตอนที่เค้าเปิดโหมดชายแท้ แล้วหน้าเอยหุ่นเอย โอเค ใครบ้างจะไม่กรี๊ด ส่วน “ออสติน ลิน” ในบทเหมาเหมา ก็น่ารักน่าชังเหลือเกิน นี่แหละเพื่อนเกย์ที่เรามีอยู่ในกลุ่ม แล้วการทำให้ทุกคนได้ตาสว่างว่า เกย์ออกสาวนั้นเป็นรุกได้ ก็ดีงามมาก! ส่วนเคมีเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันน่ะเหรอ เราคาดหวังอะไรที่ดีเกินไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
รับชม Marry My Dead Body ได้ทาง Netflix
ไม่ใช่แค่การผูกพล็อตเรื่องได้ฉลาด (“อู๋หมิงฮั่น” ตำรวจ ‘ชายแท้’ ดวงซวย ดันเก็บซองแดงที่ใช้ในพิธีแต่งงานกับผีได้ จนต้องเข้าพิธีแต่งงานกับ “เหมาเหมา” เกย์หนุ่มที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร แล้ววิญญาณของเหมาเหมาก็ปรากฏตัวขึ้น เพื่อให้เค้าช่วยสืบคดีว่าใครกันแน่ที่ขับรถชนจนเจ้าตัวต้องกลายเป็นผีแบบนี้) แต่การวางหมากวางปมต่างๆ ควบคู่ไปกับการนำเสนอประเด็นทางสังคมที่ค่อนข้างจริงจัง กลับกลมกลืนในบรรยากาศโรแมนติกคอมเมดี้ได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโฮโมโฟเบีย (การเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน) ที่ตัวละครหมิงฮั่นโน้มเอียงไปสู่จุดนี้มากๆ ในช่วงแรกของหนัง, ทัศนคติของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงในการทำงานของผู้ชาย ซึ่งตัวละครตำรวจหญิง “จื่อชิง” ก็เผชิญสิ่งนี้อยู่ตลอดแล้วมันก็อาจจะผลักดันให้เธอตัดสินใจทำเรื่องเซอร์ไพรส์ทุกคนในช่วงท้ายเรื่องแบบนั้น, ปัญหายาเสพติด ที่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ปัญหานี้ในสังคมเกย์มีอยู่จริง – การที่หมิงฮั่นพยายามยัดเยียดข้อหาครอบครองยาให้กับตัวละครเกย์ในฟิตเนสตอนแรกของเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย
แล้วประเด็นที่สำคัญที่สุดในหนังก็คือเรื่อง “สมรสเท่าเทียม” ในโลกของความเป็นจริง ไต้หวันเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ผ่านกฎหมายแต่งงานระหว่างคนรักเพศเดียวกันได้สำเร็จ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ชาว LGBTQ+ ทุกคนจะมีความสุขสมหวังไปซะทั้งหมด พวกเค้ายังต้องเผชิญกับปัญหาของความรักที่อาจทำให้ภาพฝันแสนหวานเป็นจริงไม่ได้ การต่อต้านจากคนรุ่นเก่า อย่างพ่อแม่คนในครอบครัว (ตรงนี้ เหมาเหมาอาจจะโชคดีที่คุณย่าเปิดกว้าง และสนับสนุนเค้าในการเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่) หรือแม้แต่กับสังคมในวงกว้าง ชาว LGBTQ+ หลายๆ คนยังต้องเผชิญหน้ากับโฮโมโฟเบียอยู่เหมือนเดิม (เธอ! อย่างใน Taiwan Pride ทุกครั้งก็จะมีคนออกมาต่อต้านเสมอ มาชูป้ายด่าทอ บอกให้พระเจ้าลงโทษบ้าง พวกแกต้องตกนรกบ้าง – หรือแม้แต่ตอนโหวตกฎหมายแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน ก็มีหลายบ้านที่ติดป้ายหน้าประตู แขวนข้อความบนหน้าต่างเลยว่า ไม่ยอมรับการแต่งงานของ LGBTQ+)
แต่ก็นั่นแหละ การมีหนังอย่าง Marry My Dead Body มันก็ช่วยปลอบประโลมเรา และหวังเหลือเกินว่า พวกโฮโมโฟเบีย หรือคนที่ไม่เคยเข้าใจ LGBTQ+ จะเปิดตาเปิดใจกว้างมองเห็นเราเป็นเพื่อน หรืออย่างน้อยๆ ก็มองเราเป็นเพื่อนมนุษย์ แบบเดียวกับที่หมิงฮั่นแปรเปลี่ยนไป เมื่อได้รู้จักกับชีวิตของเหมาเหมา ซึ่งขณะที่เขียนอยู่นี้ เราก็เกือบจะโยนความหวังที่ว่านี้ลงถังขยะไปอีกรอบ เพราะแค่มีข่าว สปสช. ให้สิทธิบัตรทองกลุ่ม LGBTQ+ ผ่าตัดแปลงเพศฟรี! คอมเมนต์แย่ๆ ก็ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ซึ่งสะท้อนให้เห็นเลยว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่เข้าใจ และมองการผ่าตัดแปลงเพศเป็นเรื่องความสวยความงามเพียงเท่านั้น ... โอเค เรายังต้องสื่อสารและสร้างความเข้าใจกันต่อไปแหละเนอะ
กลับมาที่ Marry My Dead Body ที่เราชอบมากๆ อีกส่วนก็คือ การที่ความสัมพันธ์ของตัวละครมันไม่ก้าวไปสู่สถานะคนรักแบบหนังเกย์/ซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ โอเค มันมีฉากที่ตัวละครได้อยู่ใกล้ชิดหรือมีโมเมนต์อยู่บ้าง แต่มันไม่ถูกขยี้อย่างชัดเจนอะไรเลย แน่นอน มันไม่มีเลิฟซีนใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ฉากจูบก็ไม่มี แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า สถานะของตัวละครหมิงฮั่นกับเหมาเหมานั้นคือคู่สมรสกันในโลกวิญญาณแล้วนะ – มันข้ามไปไกลกว่าเรื่องทางโลก หรือกฎหมายสมรสเสียอีก แล้วพอฉากสุดท้ายของเรื่องมาถึง การใช้ชีวิตต่อไปของหมิงฮั่นโดยมีเหมาเหมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเค้าตลอดไป แม้ว่าดวงวิญญาณของเหมาเหมาไม่อยู่กับเค้าแล้ว มันจึงลึกซึ้งเหลือเกิน
ความสำเร็จส่วนสำคัญของ Marry My Dead Body ยังอยู่ที่สองนักแสดงนำ “เกร็ก ซู” เป็นหมิงฮั่นได้น่าทุบมาก ในตอนที่เค้าเปิดโหมดชายแท้ แล้วหน้าเอยหุ่นเอย โอเค ใครบ้างจะไม่กรี๊ด ส่วน “ออสติน ลิน” ในบทเหมาเหมา ก็น่ารักน่าชังเหลือเกิน นี่แหละเพื่อนเกย์ที่เรามีอยู่ในกลุ่ม แล้วการทำให้ทุกคนได้ตาสว่างว่า เกย์ออกสาวนั้นเป็นรุกได้ ก็ดีงามมาก! ส่วนเคมีเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันน่ะเหรอ เราคาดหวังอะไรที่ดีเกินไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
รับชม Marry My Dead Body ได้ทาง Netflix